ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความรู้สึก

๑๙ ธ.ค. ๒๕๖๓

ความรู้สึก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๒๕๐๕. เรื่อง “คิดว่านั่งนาน แต่ไม่นาน”

กราบนมัสการหลวงพ่อ หนูเพิ่งหัดนั่งสมาธิ ช่วงแรกก็นั่งดึงจิตที่ส่งออกกลับมาที่ปลายจมูก จิตไม่เป็นสมาธิเลยค่ะ ดึงกันไปดึงกันมาอยู่อย่างนี้ พอเมื่อยจนทนไม่ไหวก็ออกจากการนั่ง มีความรู้สึกว่านั่งเดี๋ยวเดียว นั่งแป๊บเดียว แต่ระยะหลังนี้เริ่มดีขึ้น จิตอยู่ที่ปลายจมูกมากกว่าจิตส่งออก พอเมื่อยมากๆ ทนไม่ไหวก็ออกจากการนั่ง แต่มีความรู้สึกว่านั่งนาน แต่เวลาจริงกลับน้อยกว่าช่วงแรกที่นั่งไม่เป็นสมาธิ

คำถาม

ทำไมความรู้สึกเป็นอย่างนั้นคะ วันที่จิตอยู่ปลายจมูกนานๆ รู้สึกว่านั่งนาน วันที่จิตส่งออกเยอะๆ กลับรู้สึกว่านั่งแป๊บเดียว แต่เวลาจริง จิตที่ส่งออกน้อย เวลานั่งกลับน้อยกว่าจิตที่ส่งออกเยอะๆ

อีกคำถาม

ขอวิธีการแผ่เมตตาจากหลวงพ่อเจ้าค่ะ ต้องพูดอย่างไรคะ แผ่เมตตาก่อนนั่งหรือออกจากสมาธิแล้วค่อยแผ่เมตตาค่ะ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : คำถามข้อที่ ๑. เวลานั่งไปแล้วเวลาจิตมันส่งออกๆ มันดีอย่างหนึ่ง ดีอย่างหนึ่งที่ว่า เราศึกษาหรือฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มา เราถึงมีหลักของเราไง เวลาจิตส่งออกมาก็ดึงกลับมา จิตส่งออกก็ดึงกลับมา ดึงกลับมาอยู่ที่ปลายจมูก ดึงกลับมาที่พุทโธ แล้วมันนั่งจนทนไม่ไหวก็ลุกไป นี่เวลานั่งไป แต่มานั่งครั้งที่ ๒ เวลานั่งไปแล้วจิตมันไม่ส่งออก รู้สึกว่ามันเป็นสมาธิที่ดีกว่า แต่ความรู้สึกว่าทำไมมันนั่งแป๊บเดียว ไอ้ที่ว่าจิตมันส่งออกมันกลับนั่งนาน

ไอ้นั่งแป๊บเดียวหรือนั่งนานต่างๆ ไอ้นี่เป็นความรู้สึก จะนั่งมากหรือนั่งน้อยก็แล้วแต่ นั่ง ๒๔ ชั่วโมงเลย แต่ไม่เป็นสมาธิก็ทุกข์เกือบตาย ถ้านั่งสักชั่วโมงหนึ่งเป็นสมาธิก็ได้ ไม่เป็นสมาธิก็ได้ แล้วเป็นสมาธิแล้ว จะนั่งแล้วจะเป็นอย่างนั้นอีกต่อไปก็ไม่ได้ ไม่ได้หรอก

การนั่งสมาธิๆ เวลาทำความสงบของใจเข้ามา เรานั่งเพื่ออบรมบ่มเพาะใจของเรา เรานั่งเพื่ออบรมบ่มเพาะใจของเรา ถ้าใจของเรามันสงบระงับเข้ามา ใจเราก็สุข ใจเราก็สบาย ใจเราก็ปล่อยจากสัญญาอารมณ์ ปล่อยจากอารมณ์ที่เป็นพิษ ปล่อยจากสิ่งที่เป็นกิเลสที่มันยุมันแหย่ เราพยายามปลดปล่อยมัน ปลดปล่อยด้วยบริกรรมพุทโธๆ หรืออานาปานสติที่ปลายจมูก เห็นไหม เราอยู่ใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ พุทโธๆๆ พุทธานุสติ เราบริกรรมชื่อของพระพุทธเจ้า พุทธะๆ พุทโธๆ เราพยายามบริกรรมของเรา เราอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ดีกว่าปล่อยอารมณ์ไปอยู่กับสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย

ทีนี้มันความเคยชินไง ความเคยชิน เราเคยปล่อยอารมณ์ของเราเคยชินของเราอยู่แล้ว แล้วถ้าปล่อยอารมณ์อย่างนี้เราคิดว่าเป็นอิสระไง สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยๆ

มันจะตายอยู่แล้วมันยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมันเป็นระบบการปกครองที่เขาให้ชื่อเฉยๆ อย่าไปหลงชื่อ อย่าหลง สิ่งที่เป็นธรรมๆ คือในหัวใจของเรา

ประชาธิปไตยต้องสิทธิเสรีภาพ เราทำอย่างไรเราต้องมีสิทธิ์ไง มันเป็นทิฏฐิมานะอันหนึ่งไง มันเป็นสิทธิ์ตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว จิตนี้เป็นของเรา อยู่ในร่างกายของเรา แต่จิตมันทุกข์มันร้อน มันทุกข์มันยาก

เวลามันทุกข์มันยาก เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา สอนถึงการเสียสละความทุกข์ความยาก ไม่ใช่เสียสละแก้วแหวนเงินทอง เสียสละที่ว่าทำบุญๆ กันอยู่นี่

การทำบุญๆ นี่คือการอบรมบ่มเพาะใจวิธีการหนึ่ง นี่การเสียสละเพื่อความตระหนี่ถี่เหนียว เพื่อสิ่งที่มันหวงมันแหนไง เวลามันหวงมันแหนความทุกข์ความยาก เวลาความทุกข์ความยาก ทำไมมันหวงแท้ ไอ้ความโกรธทำไมมันหวงแท้ ไอ้สิ่งที่ไม่พอใจนี่ขี้หวงมากเลย ทำไมมันหวงเอาไว้ให้มันทุกข์มันยากล่ะ นี่หัดเสียสละ เสียสละ เสียสละ แล้วไอ้ความทุกข์อันนั้นน่ะก็ฝึกหัดเสียสละไปด้วย นี่การเสียสละทานไง ถ้าเสียสละทาน เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา

ถ้าฝึกหัดแล้ว สิ่งที่เวลาหลวงตาท่านสอน คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา

ชาวพุทธที่เป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้านหรือชาวพุทธในประชากรของชาติ น้อยนักที่จะมีการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เราเป็นคนที่มีจิตใจฝักใฝ่ในคุณงามความดี เรามีจิตใจฝักใฝ่กับการประพฤติปฏิบัติ เราก็หัดนั่งสมาธิภาวนา พอหัดนั่งสมาธิภาวนาไปแล้ว สิ่งที่เวลามันเกิดขึ้น ปล่อยวาง

สิ่งที่มันเป็นประสบการณ์นะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลามั่นคงแล้ว เวลาคนที่จิตใจที่จะเป็นธรรมต้องตรวจสอบๆ ต้องตรวจสอบ ไม่ไว้ใจตัวเอง ไม่เชื่อตัวเอง ต้องให้เป็นธรรม มีความสงสัย มีความไม่เข้าใจใดๆ ไม่ยอมรับว่าเป็นผลของการปฏิบัติ ถือว่าเป็นประสบการณ์การประพฤติปฏิบัติเท่านั้น แล้วพยายามปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่พูดถึงว่า เวลาเราจะเอาข้อเท็จจริงกันน่ะ เราก็จะไปตรวจสอบกันตอนนั้น

แต่เวลาใหม่ๆ เวลานั่งใหม่ๆ มันเป็นความรู้สึก ทำไมเวลามันนั่งกำหนดพุทโธที่ปลายจมูก นั่งสมาธิไม่ได้เลย เวลามันนั่งนาน แต่มันไม่ได้ผลอะไรเลย เวลาเรามาที่ปลายจมูก ที่สมาธิมันดีขึ้น นั่งแป๊บเดียวมันเป็นสมาธิ เหมือนนาน แต่ออกมาแล้วดูนาฬิกามันแป๊บเดียว มันไม่เหมือนกัน เห็นไหม

มันเป็นความรู้สึก มันเป็นความรู้สึก ไอ้ที่ว่าเวลาจะมากหรือเวลาจะน้อย มันเป็นเวลาในการที่เราบริกรรม เวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัติ มันจะมากมันจะน้อยอันนั้นเป็นกรณีหนึ่ง แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาต่อเนื่องไง เราจะเอา ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง ๗ วัน ๗ คืนอย่างนี้ เวลาอย่างนั้นน่ะ เวลาก็คือเวลา แต่ใน ๑ ชั่วโมงมันสงบกี่หน ไม่สงบเลย ใน ๒๔ ชั่วโมงมันมีสงบหรือไม่สงบบ้าง มันสงบไปแล้วมันก็คลายตัวออกมา

เวลาเป็นเวลา จิตที่สงบเป็นเรื่องจิตที่สงบ ไม่เกี่ยวกับเวลา มันคนละเรื่อง มันคนละเรื่องกัน แต่เวลาปฏิบัติเราก็วัดกันที่เวลานั่นแหละ

เพราะเราเป็นมนุษย์ด้วยกันใช่ไหม เป็นการสื่อสารกันไง ว่าเรานั่งเท่าไร นั่งเมื่อไหร่อย่างนี้ แล้วเวลาพระที่ปฏิบัติเวลาถือธุดงค์ เขาก็บอกว่าเขาตั้งสัจจะไว้อย่างนี้ บอกหมู่คณะไว้ เขาจะได้ไม่ไปรบกวนกันไง เขาจะได้เปิดโอกาสให้คนที่ตั้งใจทำได้มีโอกาสได้เต็มที่ไง นี่เป็นสมมุติอันหนึ่งที่เราจะมาสื่อสารกันเรื่องเวลา

เราถึงบอกว่า ไม่ต้องไปติดข้องใจตรงนั้น

มันไปติดข้องใจว่า เวลามันทุกข์มันยากมันเหมือนแป๊บเดียว แต่มันนานมาก เวลานั่งสมาธิไปแล้วมันเป็นสมาธิ แต่มันเหมือนแป๊บเดียว

ก็ความสุขไง คนที่มีความสุข เวลาเดินเร็วมากเลย อยากให้อยู่กับเรานานๆ เวลาไอ้ความทุกข์ อู้ฮู! เวลามันยาวมาก วันหนึ่งไม่หมดสักที

คล้ายๆ กัน แต่นี่มันเป็นความรู้สึกของเรา ไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจัยจนว่าจะรู้ให้ได้ ไม่ใช่

เราจะรู้หัวใจของเรา เราจะเอาความสงบในใจของเรา

แล้วเวลานั่งแป๊บเดียวแต่เหมือนนาน เวลามันรู้จักเป็นสมาธิบ้าง เขาใช้คำว่า มันเป็นสมาธิบ้าง” มันจะมีความสุขไง แค่เราฝักใฝ่แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราบริกรรมพุทโธๆ แค่นี้เราก็ว่าดีแล้ว เป็นคนที่ดีมากๆ

ไปวัดไปวา เขายังบอกเป็นคนที่มีปัญหาเลย แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติเขาบอกเดี๋ยวบ้านะ เดี๋ยวบ้านะ ยิ่งไม่มีใครทำเลย แต่เรายังฝักใฝ่ แล้วถ้ามันมีสิ่งใดผิดปกติ มีครูบาอาจารย์คอยสอบถามท่าน แล้วถ้ามันมีสิ่งใดนะ เราแก้ไขได้ไง

คนทำคุณงามความดีเป็นความดีได้ แต่คนทำคุณงามความดีแต่มันผิดพลาดได้ มันผิดพลาดได้ เราสอบถามนี่ใช้ได้ แต่นี่เป็นการสอบถาม

เขาบอกว่า ความรู้สึกที่มันเยอะๆ กับน้อย นี่คำถามนะ ว่ามันเป็นเพราะอะไร

มันเป็นเพราะว่าความรู้สึก ความรู้สึก แล้วเราก็สงสัยในความรู้สึกนั้น แล้วยิ่งสงสัยในความรู้สึกนั้น ความสงสัยก็จะมากขึ้นๆ มากไปเลย แต่ถ้าเราวางซะ ไอ้เรื่องที่มันน้อยมาก หรือที่ว่าเวลาพุทโธแล้วเวลามันยาวกว่า เวลามันนั่งเป็นสมาธิ เวลามันกลับสั้นกว่า อันนั้นวางไว้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป

มันจะมีเรื่องให้เราได้สงสัยอีกมากมายเลย แต่สงสัยสิ่งใดแล้ว ถ้ายังแก้ไขไม่ได้ให้วางไว้ อย่าเอาความสงสัยนั้นมาเป็นโจทย์แล้วเราวิเคราะห์วิจัย มันจะไปนอกเรื่อง เราพุทโธของเราไว้ อยู่ที่ปลายจมูกนี่

คนที่ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเป็นสมาธิแล้ว เวลาปฏิบัติใหม่ก็ยังต้องอยู่ที่ปลายจมูกเหมือนเดิม ยังต้องพุทโธเหมือนเดิมไง

บอก เราปฏิบัติแล้ว เดี๋ยวนี้เราชำนาญแล้ว เราไม่ต้อง

มันยังไม่ชำนาญ ชำนาญจริงๆ แล้วเขาจะชำนาญมากของเขา นั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอมันสงบแล้ว เป็นสมาธิแล้ว เราคิดว่าสมาธิมันอยู่กับเรา สมาธินี้มันเป็นความรู้สึก มันเป็นอาการของใจไง มันอยู่ในใต้กฎ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อนัตตา ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา คือตั้งอยู่แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปไง

ฉะนั้น มันเปลี่ยนแปลงไป เวลาเราคิดว่าเราได้แล้ว เรากำหนดเลย มันเป็นอารมณ์ เป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาว่างๆ ว่างๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันไม่ว่าง ฉะนั้น ความรู้สึกที่ปลายจมูก คำบริกรรมทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งผู้รู้ ทิ้งพุทโธไม่ได้

ผู้รู้และพุทโธนี้เป็นเหตุ เป็นเหตุให้ในการประพฤติปฏิบัติเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง

มานั่งเหม่อลอยว่างๆ ว่างๆ อันนั้นเป็นการปฏิบัติที่ขาดสติ เป็นการปฏิบัติที่เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ

ถ้าเราจะปฏิบัตินะ อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ นั่งแล้วบริกรรมพุทโธๆๆ ถ้ากำหนดลมหายใจก็กำหนดลมหายใจ จะกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ชัดเจนขึ้น นั้นคือการประพฤติปฏิบัติ

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันจะมีเหตุ เหตุนั้นให้จิตมันสงบเข้ามา จะเป็นสมาธิแล้ว จะไม่เป็นสมาธิ เวลาเริ่มต้นอย่าลืมพุทโธ อย่าลืมลมหายใจ อย่าลืมที่ปลายจมูก ตัวนี้เป็นตัวต้นเหตุเลย แล้วถ้ามันละเอียดก็สติพร้อมตลอดไป นี่พูดถึงข้อในการปฏิบัตินะ นี่คำถาม ๑.

อีกคำถามหนึ่ง แล้วการแผ่เมตตาจะทำอย่างไร

การแผ่เมตตาก็การนึก นึกถึง นึกเลย ถ้ามันเป็นพิธีกรรมมันก็ สพฺเพ สตฺตา ไง เขาต้องกรวดน้ำ เขาต้องอะไร ไม่ต้อง เขาเรียกว่าการแผ่เมตตาโดยน้ำ การแผ่เมตตาโดยแห้ง การแผ่เมตตา แต่ถ้าเป็นพระกรรมฐาน การแผ่เมตตาโดยหัวใจ โดยความคิด

ก่อนนั่งปฏิบัติ เราก็ระลึกถึงเลย เจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศล แล้วนั่งประพฤติปฏิบัติของเราไป เวลาเราปฏิบัติเลิกแล้ว ตอนเลิกเราก็คิด คิดนึกน่ะ แล้วมันนึกถึง นึกถึงแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ คุณงามความดีที่นั่งสมาธินี้ทั้งหมด จิตใจที่มันสงบหรือไม่สงบ ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้บุญกุศลจากการกระทำของเรา นี่การแผ่เมตตา นึกเอา

เพราะว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เรียบง่าย แต่ในศาสนพิธีนั่นน่ะมันต้องเป็นศาสนพิธี เพราะมันเป็นประเพณีของชนชั้น ของมวลชน ของชาติ มันก็ต้องมีพิธีกรรมๆ ก็เลยไปติดพิธีกรรมกันหมดเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ก็คือการแผ่เมตตา ก็ความคิดในหัวใจ ความรู้สึกต่อเนื่อง เราแผ่ออกไป นี้แผ่โดยพระกรรมฐาน เรียบง่าย แล้วจากความรู้สึกทั้งหมด จากความรู้สึกคิดแผ่เมตตาให้เจาะจงบุคคล พ่อแม่ปู่ย่าตายาย แล้วถ้าพ่อแม่ปู่ย่าตายายแต่ละภพแต่ละชาติเราจำชื่อไม่ได้ ก็เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตาให้ทั้งหมดเลย แล้วก็ลุกจากที่นั่ง แล้วถ้าทำวัตรสวดมนต์ก็ทำอย่างนี้เหมือนกันหมด

แผ่เมตตาทำอย่างไรคะ”

แผ่เมตตาคือปรารถนาให้ทุกคนมีความสุข ปรารถนาให้สรรพสัตว์ในโลกนี้อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ให้เขามีความสุขๆ เถิด นี่พูดถึงการแผ่เมตตาเนาะ จบ

ถาม : ข้อ ๒๕๐๖. เรื่อง “จิตชอบออกตามระลึกกระดูก”

หนูบริกรรมพุทโธแบบถี่ๆ มากๆ ติดต่อกันประมาณ ๑๕ นาที ถึง ๒๐ นาที ตามวิธีของหลวงปู่เจี๊ยะ จนจิตโปร่ง แล้วจะมีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่าง เช่น เปลี่ยนไปดูกระดูก หรืออาการ ๓๒ (แต่ถ้าดูกระดูกรู้สึกว่าจะมีความชัดเจนในจิตและอยู่ได้นานกว่า) ก็ออกมารู้ตามข้อกระดูก นับชิ้นกระดูกไปเรื่อยๆ บนลงล่าง จากล่างขึ้นบนซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่มีภาพนะคะ ผลคือจิตรู้สึกโล่งสบาย ยิ่งถ้าทำนานๆ จะมีความสุขมาก อิ่มเอิบมาก บางครั้งมีแสงสว่างเกิดขึ้น

มีครั้งหนึ่งหนูเคยลองบังคับให้มันกลับไปพุทโธเฉยๆ แล้วจิตมันรำคาญ อึดอัด ไม่ยอมอยู่กับพุทโธ จนมันถอนออกมา

ก่อนหน้านี้หนูเคยภาวนา แต่มักจะชอบง่วงและตกภวังค์ เพิ่งเริ่มพุทโธถี่ๆ มาได้ประมาณ ๓ เดือน ปัจจุบันนี้นั่งสมาธิวันละ ๑ ชั่วโมง ใช้เวลาดูกระดูก ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที จนถึง ๓๐ นาที หรือ ๔๐ นาทีบ้าง สลับกันไปแล้วแต่วัน

ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แจงคำถามให้หายสงสัยเจ้าค่ะ

๑. จิตหนูไม่เหมาะกับการใช้พุทโธหรืออย่างไรคะ ก่อนสงบก็ต้องพุทโธอย่างฝืนและเครียดมาก พอจิตมันสงบแล้วจะพุทโธอยู่เฉยๆ ก็อึดอัด ต้องคิดนึกถึงจะสบาย

๒. การที่ชอบออกตามรู้กระดูกแบบนี้ จิตเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติคะ แล้วหนูต้องใช้ความสงบแนบแน่นถึงขั้นอัปปนาหรือไม่ ถึงจะเกิดเป็นวิปัสสนาได้

๓. สืบเนื่องจากคำตอบข้อ ๒. หนูควรเพิ่มเวลาการภาวนาหรือไม่คะ ส่วนใหญ่จะฝึกสติทั้งวัน ได้นั่งภาวนาแต่ตอนหลังทำวัตรเย็นเจ้าค่ะ

ตอบ : อันนี้พูดถึงการภาวนานะ การภาวนาของคนอยู่ที่ความถนัด อยู่ที่จริตนิสัย โดยทั่วไปก็อันดับหนึ่งเราก็กำหนดพุทโธ กำหนดธัมโม สังโฆ เทวตานุสติ กำหนดสิ่งใดก็ได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน ส่วนใหญ่ก็ให้กำหนดพุทโธ คือใช้คำว่า กำหนดพุทโธ” แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธได้มันก็ดี กำหนดไม่ได้เพราะโดยการประพฤติปฏิบัติในท้องตลาด เขากำหนดอานาปานสติ กำหนดลมก็ได้ กำหนดลมก็ได้ กำหนดพุทโธก็ได้ กำหนดคำบริกรรมก็ได้ ทำอะไรก็ได้ๆ ถ้าก็ได้ แล้วตรวจสอบว่าเราดีขึ้นหรือไม่

ฉะนั้นถึงบอกว่า หนูเคยกำหนดพุทโธๆๆ แล้วมันต้องอึดอัด มันอึดอัดมาก แต่ถ้าไปกำหนดดูกระดูกแบบหลวงปู่เจี๊ยะมันจะดีขึ้น

สิ่งใดที่มันประพฤติปฏิบัติแล้วมันสืบเนื่อง แล้วมันต่อเนื่องที่ดีขึ้น เอาสิ่งนั้น เอาสิ่งนั้น แต่อะไรก็แล้วแต่ พอทำชินชาแล้ว กิเลสมันรู้ทันแล้ว อันนั้นที่ว่าดีๆ มันก็จะไม่ดี ฉะนั้น สิ่งที่ว่าไม่ดีๆ มันกลับมาดีไง เดี๋ยวมันกลับไปกลับมา กิเลสมันพลิกมันแพลง คือมันพยายามจะทำให้เรางงน่ะ มันทำให้เรางุนงงไปหมดน่ะ พอเราตั้งใจอย่างนี้ บอกไม่ดี พอไปทำอย่างอื่นมันก็ดี ดีๆๆ เดี๋ยวมันก็กลับไม่ดี

ฉะนั้นบอกว่า ไอ้กำหนดพุทโธเราก็สงวนไว้ สงวนไว้ ถ้าเราทำอย่างอื่นทั่วไปแล้วมันไปตันหรือมันไม่เจริญก้าวหน้า เราก็กลับมาพุทโธ แล้วถ้าพุทโธไม่ดี เราก็ไปอย่างอื่นได้ เราทำอย่างอื่นได้

แต่โดยกรรมฐาน ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆ ท่านจะบอกว่า การปลูกต้นไม้แล้วย้ายบ่อยๆ มันจะไม่ต่อเนื่อง ควรจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ควรจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เราได้พิสูจน์แล้วไง ได้พิสูจน์แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี แล้วถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราจะเปลี่ยนเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เราตั้งใจให้ต่อเนื่อง เห็นไหม มันเป็นอุบาย เป็นการภาวนาไง

ฉะนั้นว่า กำหนดพุทโธถี่ๆ มันดีขึ้น

ถี่ๆ คือมันท่องไวๆ ท่องไวๆ เพราะคนเรา อารมณ์ของคนมันไม่เหมือนกัน บางวันรู้สึกว่านุ่มนวลมาก บางวันมันเครียดมาก บางวันมันโกรธมาก บางวันมันน้อยใจมาก เขาดูตรงนี้ แล้วกำหนดเร็วหรือช้าหรือปานกลาง อยู่ที่ว่ากำหนดแล้วมันอยู่

ถ้ากำหนดแล้วมันไม่อยู่ มันคิดออกไง มันส่งออก พุท กว่าจะคิดหลายรอบแล้วมันกลับมาโธ อย่างนั้นเราถี่ๆ อารมณ์อันไหนที่มันรุนแรงเราก็กำหนดให้มันเร็วขึ้น อารมณ์อันไหนที่มันปานกลางก็ปานกลาง อารมณ์ที่มันนุ่มนวลก็พุทโธเบาๆ ก็ได้ ต่อเนื่องไป นี้คือวิธีการ เพราะมันต้องมีงาน มันต้องมีการกระทำ มันถึงจะมีผล

นั่งเฉยๆ ว่างๆ ว่างๆ อีกร้อยปี ไอ้นี่เขาเรียกว่าหัวตอ นั่งไปเถอะอีกร้อยปี มันจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ได้แต่ว่านั่งสบาย แล้วฉันเป็นนักปฏิบัติปฏิบัติสบาย

ใช่ ไม่ปฏิบัติเลยเลวกว่า ปฏิบัติดีกว่าไม่ปฏิบัติ แต่ปฏิบัติแล้วถ้าเราไม่กระทำ เราไม่กำหนด เราไม่นึก เราไม่นึกเลย ไม่กำหนดพุทโธ มันไม่มีนวกรรม ไม่มีการกระทำ เหมือนเวลาตะกอนในก้นแก้ว วางไว้มันยังต้องนอนลง เขามีเครื่องกรอง

นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเรา ตะกอนในน้ำมันยังเป็นวัตถุนะ แต่อารมณ์ความรู้สึกของคนมันขุ่นมัวแล้วมันฝังใจ แล้วฝังใจอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็หลอกด้วยนะ เวลาเรานั่งสมาธิก็สบายแล้ว เวลาลุกไปแล้วเราก็จบแล้ว มันหลอกอยู่อย่างนั้นน่ะ เหมือนกับเราไม่ก้าวหน้าอะไรเลย

ลองพุทโธๆ แล้วจิตสงบสิ ขนลุกขนพอง มันมีความรู้สึก มันมีความร่มเย็นน่ะ แล้วพอเป็นสมาธิแล้วนะ โอ้โฮ! ชีวิตนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น มันมองชีวิตนี้ทะลุปรุโปร่ง มันมองชีวิตทะลุปรุโปร่งเลยนะ แล้วไม่ยึดติดอะไรเลย มันสบาย ถ้ามันเป็นจริงนะ แล้วถ้าวิปัสสนาเป็นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่พูดถึงว่า พุทโธถี่ๆ หรือว่าใช้กำหนดกระดูกก็ได้ ถ้ากำหนดกระดูก นึกเอา นึกเอาที่ไม่เห็นภาพ ถูกต้อง ทำอย่างนี้

หลวงปู่เจี๊ยะท่านสอนไว้ว่ากำหนดกระดูกตามข้อได้ ๒–๓ ชั่วโมง คำว่า ๒–๓ ชั่วโมง” นั่นน่ะจิตมันสงบ นั่นน่ะเป็นสมาธิ แล้วมันเป็นสมถะอันหนึ่ง แล้วถ้าจิตสงบแล้วก็ดูกระดูกอย่างเดิม ถ้าดูกระดูกอย่างเดิม มันแตกต่างแล้ว

มันรู้ มันรู้ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันซาบซึ้ง กำหนดในกระดูก มันก็อยู่กระดูก แต่พอมันจิตสงบแล้วกำหนดกระดูก มันเป็นกระดูกเลย แล้วกระดูกมันใหญ่ได้ เล็กได้ ทำลายได้ เปลี่ยนแปลงได้ เวลาถ้าจิตมีกำลังนะ มันทำได้ ถ้าจิตไม่มีกำลังนะ กระดูกเอาไว้ต้มน้ำซุป มันก็เป็นแค่กระดูก แต่ถ้าเป็นจริงมันเป็นที่ผลของการปฏิบัติ มันเป็นผลที่หัวใจของเรา

ทีนี้เข้าคำถาม

“๑. จริตหนูไม่เหมาะกับการใช้พุทโธหรืออย่างไรคะ ก่อนสงบก็ต้องพุทโธอย่างฝืนและเครียดมาก พอนั่งสงบแล้วจะพุทโธอยู่เฉยๆ ก็จะอึดอัด ต้องคิดนึกจึงจะสบาย”

อันนี้มันเป็นอุปสรรค มันเป็นอุปสรรคนะ ถ้าพุทโธๆ แล้วอะไรมันอึดอัดมันขัดมันข้องไปหมดเลย เพราะพุทโธๆ มันทำให้เราสงบได้ไง ถ้ามันอึดมันอัดมันขัดข้องไปหมดเลยก็เลิก เลิกก็เข้าทางกิเลสไง แล้วถ้าเรากำหนดพุทโธๆ ถ้ามันเป็นพื้นฐานมา เวลาเราไปนับข้อกระดูกมันก็ส่งผลจากพุทโธนี้ไป

คำบริกรรมมันเป็นคำบริกรรม มันจะมีผลอะไร มันไม่มีผลอะไรหรอก มันไม่มีผลอะไรกับความผิดพลาดไง แต่ที่ว่ามันเครียดๆ มันมีผลเพราะกิเลสมันไม่ชอบ กิเลสมันต้องมาบริกรรมไง ถ้ากิเลสมันเป็นเจ้าใหญ่นายโตนี่ชอบ ถ้ากิเลสบัญชาการนี่ชอบ พอมาพุทโธอึดอัด นี่พูดถึงว่าข้อเท็จจริงไง

แต่ถ้ามันไปที่กระดูกแล้วมันดี หรือพุทโธถี่ๆ แล้วมันดี ถ้าสิ่งที่มันดีกว่า เอาสิ่งนั้น

แต่พุทโธมันไม่ฆ่าใคร พุทโธไม่ทำลายใคร พุทโธไม่มีโทษมีภัยกับใครทั้งสิ้น มีแต่กิเลสเราต่างหากมันไปโทษ มันไปอ้างเล่ห์ มันไปอ้างว่าเราเป็นอย่างนั้นๆ ไง

เราจะบอกว่า ถ้าเราคิดอะไรที่ว่าสิ่งที่เป็นคุณงามความดีมันจะเป็นโทษนะ วันหลังเราจะไม่ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นไง พุทธานุสติอันดับหนึ่งนะ พุทโธนี่พระพุทธเจ้านะ พุทธะเชียว แต่ถ้ามันทำแล้วมันไม่ได้ผล วางไว้ แล้วมาที่กระดูกอย่างที่ว่า ถูกต้อง แล้วถ้ามันดีขึ้น มันก็ดีขึ้น

จะบอกว่ามันไม่ใช่จริตของหนูใช่ไหมคะ

จริตนิสัยมันเป็นแค่ความเคยชิน ความเคยชิน แต่ความเคยชินกับข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริง สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงมันควรจะมีประโยชน์กว่า

ฉะนั้น ไอ้ที่ว่าตอนนี้มันพุทโธแล้วมันเครียด มันไม่สะดวก นั่นเก็บแขวนไว้ก่อน แล้วถ้าไปถี่ๆ แล้วดี ก็ถี่ๆ แล้วดี สิ่งใดที่ทำแล้วดีนั้นถูกต้อง เพราะเราปฏิบัติเพื่อความสงบ เราปฏิบัติเพื่อความดี ถ้าอย่างนั้นมันถูกต้อง

ฉะนั้น “๒. การที่ชอบออกรู้กระดูกแบบนี้ ถือว่าเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติคะ”

มันไม่เป็นอะไรทั้งสิ้นค่ะ ยังไม่เป็นอะไรเลย

มันจะเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่ ไอ้นี่ก็ทำความสงบของใจเข้ามาไง ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าเป็นพุทโธๆๆ ที่่ว่าแบบพระโมคคัลลานะ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิแบบพระสารีบุตร พระสารีบุตรใช้ปัญญานำหน้า แต่สุดท้ายแล้วมันลงมรรค ๘ เหมือนกัน แต่มรรค ๘ เหมือนกัน แล้วถ้ามรรค ๘ เหมือนกันแล้วจะไม่มีการเถียงกันเด็ดขาด มันจะเป็นความจริงเหมือนกัน เพียงแต่อุบายวิธีการที่แตกต่างกันไป

ฉะนั้น มันจะเป็นเจโตหรือปัญญา แขวนไว้ก่อน ไปพูดตั้งแต่ตอนนี้คือว่าเรายังไม่ได้ก้าวหน้า เราจะไปเลือกประเภท แล้วเราจะทุ่มเทประเภทใดประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ มันเป็นโอกาสที่เราจะเป็นเจโตก็ได้ เป็นปัญญาก็ได้ มันเป็นโอกาสที่กว้างขวางกว่า มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำประโยชน์ได้มากกว่า

ฉะนั้น มันจะเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่ ขอให้มันประพฤติปฏิบัติแล้วเป็นผลความสำเร็จของเรา อันนั้นถูกต้อง แล้วอันนั้นดีงาม มันจะเป็นสิ่งใดนั้นเอาไว้ให้มันเป็นตามข้อเท็จจริง

แต่ถ้าเราบอกว่าเราจะเป็นแบบนี้ๆ มันเป็นช่องทางไง เราจะละทิ้งทางทางหนึ่ง จะไปอีกทางทางหนึ่งโดยสุดโต่ง ฉะนั้น ถ้าเราละทิ้งทางใดทางหนึ่งไปอีกทางสุดโต่ง แล้วความพอดีของเราล่ะ แล้วเกิดถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับเราล่ะ

เอาที่ประโยชน์ เอาที่ประโยชน์ เอาที่ศีล สมาธิ ปัญญา เอาที่ความจริงที่มันเกิดขึ้น เราไม่สุดโต่งทางใดทางหนึ่ง เราเอาความจริงของเรา เอาการปฏิบัติของเราที่มันจะเป็นความจริง

แล้วถ้าความจริงแล้ว เราไม่ไปทุกข์กับโลก ถ้ามีศีลมีธรรม เรามีสติปัญญาของเรา เราไม่ไปทุกข์กับโลกแล้ว เราก็อยู่กับโลกนี่แหละ เราทำงานอยู่กับโลกนี่แหละ แต่เรามีคุณธรรมในหัวใจ เราไม่ไปทุกข์ไปร้อนมากกับเขา ถ้าเรามีธรรมในใจ เห็นไหม แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติ มันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา นั่นเป็นสมบัติของเราเลย

ฉะนั้น เราสงวนไว้ สงวนว่ามันจะเป็นเจโตหรือว่าเป็นปัญญา แขวนไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรเลย ยังไม่ได้เดินเลย เราสงวนไว้ว่าเป็นหนทางของเราทั้งสิ้น แล้วเราปฏิบัติของเราไป ถ้ามันเป็นสิ่งใดมันจะเป็นตามข้อเท็จจริง ถ้ามันเป็นจริงนะ แล้วถ้าเป็นจริงเราจะรู้เลย

เราเป็นประเภทใดเราต้องรู้สิ กินก๋วยเตี๋ยวน้ำ เราก็ต้องรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำมันมีน้ำ กินก๋วยเตี๋ยวแห้งก็ต้องรู้ก๋วยเตี๋ยวแห้งมันไม่มีน้ำ ชัดๆ เลย สองชามวางอยู่คู่กัน ก๋วยเตี๋ยวน้ำกับก๋วยเตี๋ยวแห้ง

เจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติ มันก็เป็นคุณสมบัติที่เราจะประพฤติปฏิบัติได้นะ เราไม่ไปแยกประเภทใดประเภทหนึ่ง เอาความจริงของเราก่อน แล้วถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา

“๓. สืบเนื่องจากคำตอบข้อ ๒. หนูควรเริ่มภาวนาหรือควรเพิ่มเวลาภาวนาหรือไม่คะ ส่วนใหญ่จะฝึกทั้งวันค่ะ”

ทำดีอยู่แล้ว ถ้าเรารักษาหัวใจของเรา คือสติอยู่กับเรา อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว แล้วฝึกหัดภาวนาไป ถ้าฝึกหัดภาวนาไป ไม่ต้องมีใครมาสอนเลยนะว่าเราควรจะเป็นคนอย่างใด คนที่จะประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีความกตัญญู เรื่องชีวิต มันเห็นคุณค่าของชีวิต ถ้าจิตมันดี มันคิดดีคิดงามไปหมดเลย แต่เวลาจิตมันเสื่อม มันตีโพยตีพายโทษเขาไปทั่วเลยนะ กูเป็นเทวดา กูไม่ผิด คนอื่นผิดหมดเลย

แต่ถ้าเวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นไปตามธรรม เรามีกตัญญูกตเวที จากพ่อจากแม่ จากหมู่คณะ จากที่อยู่อาศัย เวลาสิ่งที่เราอยู่ในสังคม ถ้าเขามีอารมณ์กับเรา เขาหลุดออกมา เราค่อยพิจารณาเป็นธรรมไง เห็นแล้วสงสาร แล้วสังเวชมาก

แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดที่โกรธให้เราแล้วเราโกรธตอบ เราโง่กว่าเขาอีก ถ้าเรามีสติปัญญา ใครจะโกรธเรา ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เรา มันมีสติปัญญาที่ใคร่ครวญแล้วสังเวชไง ปลงธรรมสังเวช แต่ถ้าไม่มีธรรมนะ โกรธมาก็โกรธตอบ แล้วซัดกันเลย เก่งกว่าเขาอีกต่างหาก เห็นไหม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ถ้าพูดถึงปฏิบัติแล้ว ถ้ามันเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์อย่างนี้ ถ้าฝึกหัดสติปัญญามันมีประโยชน์อย่างนี้ แล้วคนจะทำมากทำน้อยขึ้นมามันอยู่ที่ว่ามันได้ผล เวลามันได้ผลขึ้นมาแล้วมันมีความเพียร มีความอยากขึ้น มันก็ทำของมัน แล้วหาโอกาสของตน นี่ชีวิตของตนนะ

ชีวิตของเรา เราต้องพิจารณาของเราเอง เราต้องมีความรับผิดชอบ แล้วถ้ามันเจริญรุ่งเรืองขึ้น มันดีขึ้น มันก็เป็นความสุข มีคุณค่าในชีวิตของเราไง ถ้าชีวิตมันเหลวไหล ชีวิตไม่ทำสิ่งใดเลย นั่นก็ชีวิตของเราไง ชีวิตของเราทั้งสิ้น เราเลือกเอา เราทำของเราเอง ถ้าเราปฏิบัติของเราเอง มันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่ข้อที่ ๓. นะ จบ

ถาม : ข้อ ๒๕๐๗. เรื่อง “ผลของภาวนา”

กราบพ่อแม่ครูจารย์ครับ ครั้งนี้ผมทำความสงบของใจก่อน แล้วมาฝึกหัดใช้ปัญญาเหมือนเดิม แล้วจับอารมณ์มันได้ จับมาพิจารณาแยกแยะไปถึงต้นตอของตัวอวิชชาเลย อาการที่เวลาแยกแยะมันทุกครั้งตั้งแต่ขันธ์ ๕ ไปถึงตัวอวิชชา ขนลุกตลอด ขนลุกทุกรอบ

พอเข้าไปขุดคุ้ยมัน หัวใจมันก็เริ่มโล่งว่าง แยกแยะซ้ำวนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เหมือนอะไรที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ แต่ยังสงสัย ยังไม่หมด ความรู้สึกว่ารู้โล่งว่างมีจริงแต่ไม่หมด มีอีก เดี๋ยวจะกลับไปหาตัวมันอีก

คำถามครับ

ผมต้องทำแบบนี้แบบเดิมใช่ไหม ต้องฝึกหัดใช้ปัญญาก่อนเพื่อจะจับอารมณ์ต้นเหตุ หาตัวแล้วแยกแยะอีกทีใช่ไหมครับ หรือว่าต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ไล่ไปเลย กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก

ตอบ : นี่คำถาม ผลของการภาวนา ผลของการภาวนานะ ถ้าผลของการภาวนาตอบมา ถามมาสองรอบสามรอบ อันนี้ต่อไป

สิ่งที่ว่าเวลาเขาจับตัวขันธ์ ๕ เวลาจับ เขาบอกเขาเคยถามมาว่า เขาพิจารณาไปแล้วเขาจับตัวจิตได้ ถ้าจับตัวจิตได้ เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อย

เราบอกว่าให้จับตัวนั้นแล้วพิจารณา ให้จับตัวนั้นพิจารณา ถ้าให้จับตัวนั้นพิจารณา จะพิจารณาเป็นอะไรก็ได้

ฉะนั้นเขาบอกว่า เขาจับตัวนั้นพิจารณาเป็นขันธ์ ๕

พิจารณาเป็นขันธ์ ๕ อารมณ์สิ่งใดเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร วิญญาณ แยกมันออก แยกมันออก พอแยกมันออกมันจะหยุด มันจะหยุด มันจะว่าง มันจะว่างๆ ถ้าประพฤติปฏิบัติมากๆ เข้า ใช้ปัญญามากๆ เข้า มันต้องกลับมาที่ความสงบไง ถ้ามันกลับมาที่ความสงบได้ มันมีกำลังได้ ก็กลับไปพิจารณาใหม่

ฉะนั้นบอกว่า เวลาเขาพิจารณาขันธ์ ๕ ไปถึงตัวอวิชชาเลย

ไปถึงตัวอวิชชาก็ไปถึงตัวของจิตไง ไปถึงตัวอวิชชา มันแบบว่า เวลาพระบวช ไปบวชอุปัชฌาย์ ปฏิโลม อนุโลม ปฏิโลม คือมันต้องพิจารณาเข้าไป พิจารณาออกมา พิจารณาเข้าไป ให้ละเอียดรอบคอบ เวลามันจับได้ มันพิจารณาของมันได้ อารมณ์ความรู้สึก อะไรเป็นรูป อะไรเป็นเวทนา อะไรเป็นสัญญา อะไรเป็นสังขาร อะไรเป็นวิญญาณ แล้วถ้าจิตมันพิจารณาของมันได้ มันหยุดในระหว่างรูป เวทนา สัญญา สังขาร หยุดตรงไหนก็ได้ เวลามันหยุดมันว่างหมดน่ะ มันปล่อยหมด เวลามันปล่อยหมด ทีนี้พอปล่อยหมด ถ้าปล่อยหมดมันก็อยู่กับความว่าง เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก

เวลาผู้ที่พิจารณาเป็น พิจารณาเป็นแล้ว ว่าตทังคปหาน ประหารชั่วคราวๆ คนที่มีสติสัมปชัญญะนะ เพราะอะไร เพราะคนที่มีสติสัมปชัญญะมันพิจารณาไปแล้วมันปล่อยได้จริงแต่มันชั่วคราวๆ ชั่วคราวเพราะอะไร ชั่วคราวเพราะแหวกจอกแหนๆ ไง พอแหวกจอกแหน จอกแหนมันก็กลับมาเหมือนเดิม

นี่เหมือนกัน อารมณ์เวลาพิจารณาไปแล้วมันก็ว่าง เดี๋ยวก็คิดอีกน่ะ พอคิดอีกก็พิจารณาซ้ำอีก พิจารณาซ้ำอีก การพิจารณาซ้ำ การพิจารณาซ้ำถ้ามันซ้ำแล้ว แล้วมันพิจารณามันไปไม่ตลอดรอดฝั่ง กลับมาพุทโธซะ กลับมาพุทโธ หรือถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ต้องกลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิ กลับมาสร้างกำลังของตนไง

ถ้ามันมีกำลังนะ เวลามันมีกำลัง คือสมาธิถ้ามันมีกำลังของมัน มันจะพิจารณาสิ่งใดมันก็พิจารณาเป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้าสมาธิมันไม่มีกำลังของมันนะ สัญญาทั้งนั้น มันเทียบมันเคียงของมัน แล้วพอมันพิจารณาไปสักรอบหนึ่งแล้วมันพิจารณาได้ พอคนพิจารณาได้ เวลาพิจารณามันก็พิจารณาซ้ำอย่างนั้นน่ะ การซ้ำอย่างนั้นมันซ้ำโดยไม่ได้ใช้ปัญญา การซ้ำอย่างนั้นคือเอาผลงานอันเก่ามาเป็นตั้งไง

หลวงปู่มั่นหรือหลวงตาพระมหาบัวเวลาท่านเทศน์นะ แล้วเวลามันเข้าสู่ความสำคัญๆ ท่านบอก ตรงนี้สำคัญ ข้ามไป เพราะกลัวกิเลส กิเลสของคนปฏิบัติมันจะเอาไปหุงกิน เอาไปหุงกินคือว่าถ้ามันรู้ข้อตอบก่อน พอมันพิจารณาซ้ำแล้ว เคยพิจารณาแล้วมันปล่อย แล้วก็เอาความรู้เดิมนั่นน่ะ เอาสัญญาเก่ามาพิจารณา มันเป็นสัญญา ถ้าเป็นสัญญาเก่านะ

มันต้องสดๆ ร้อนๆ เดี๋ยวนั้น จับอะไรได้ จับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เวลาพิจารณากายนะ จับหัวกะโหลกได้ จับกระดูกได้ จับตับ ไต ไส้ ปอดได้ จับอะไรได้ คำว่า จับอะไรได้” คือจิตสงบแล้วมันเห็นอะไร มันรู้อะไรไง มันเห็นอะไรมันชัดๆ อย่างนั้นแล้วพิจารณาไปเลย

นี่เขาบอกว่าเขาเห็นขันธ์ ๕ แล้วพิจารณาขันธ์ ๕ นะ พิจารณาจนมันปล่อยๆๆ ขนลุกทุกรอบเลย

นั่นน่ะขนลุกมันก็เป็นผลไง เป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติ

นี่ไง พูดถึงเวลาสุขในสมาธิ สุขในปัญญา มันคนละเรื่องกันเลยนะ สมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่ถ้าเวลาใช้ปัญญา ปัญญามันพิจารณาไปแล้ว โอ้โฮ! มันกว้างขวาง มันเวิ้งว้างกว่า มันทำความสะอาดเลย ถ้าทำความสะอาดเลย

นี่พิจารณาไปแล้วมันก็ปล่อยๆ แต่ก็ยังสงสัย ยังไม่หมด ความรู้สึกที่โล่งที่ว่างจริง ก็มีอยู่จริง แต่อีกเดี๋ยวมันก็กลับมา

มันกลับมาแน่นอน คำว่า มันกลับมา” แสดงว่าบุคคลคนนั้นมีวาสนานะ ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เหมือนที่เราพูดถึงสมาธิ

บอกว่า ทำสมาธิแล้วสมาธิจะอยู่กับเรา

ไม่ใช่ สมาธิมันอยู่ในใต้หลักธรรมว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย กิริยาทั้งหลาย อยู่ภายใต้กฎของอนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นี่ก็เหมือนกัน พิจารณาไปแล้วเป็นอนัตตา ถ้าอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ก็เป็นอนัตตา นี่พูดถึงสมาธินะ

ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาพิจารณาแล้ว พิจารณาซ้ำแล้วมันปล่อยขนาดไหน อนัตตา อนัตตา ถ้าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่เป็นอนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ในสามโลกจักรวาลนี้เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดคงที่ทั้งสิ้น แปรสภาพทั้งสิ้น

พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันมีอกุปปธรรมไง เวลามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วมันพ้นจากอนัตตานะ ไม่มีการเคลื่อนไปและเคลื่อนมา ถ้ามันพ้นจากอนัตตาไป นี่องค์คุณธรรมของอริยทรัพย์ ของการประพฤติปฏิบัติ แล้วมันจะกังวาน

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะสันทิฏฐิโก รู้ชัดๆ เลย แล้วถ้ารู้ชัดๆ มันจะรู้เลยว่าผลของวัฏฏะไง ปุถุชนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้าเป็นโสดาบัน ๗ ชาติ มันรู้เต็มอก

คนเป็นโสดาบันไม่รู้สถานะของการเป็นโสดาบัน คนเราไม่รู้ว่าเป็นหญิงเป็นชายได้อย่างไร คนไม่รู้ว่าเป็นพระหรือ บวชมาอุปัชฌาย์ยกมาเป็นพระ ผู้ที่เป็นจริงก็รู้จริงตามฐานะของตน โสดาบันสมบูรณ์ในความเป็นโสดาบัน แต่ในปัจจุบันนี้มันมีแต่โซดา สงสัย มันไม่ใช่โสดา มันเลยพูดผิดพูดถูก

ถ้าเป็นโสดาบันชัดๆ แจ่มแจ้งในความรู้ในสถานะของตน ชัดๆ เลยล่ะ

แต่ถ้ามันไม่ชัดไง ชัดๆ มาจากไหนล่ะ

คำว่า ชัดๆ” มันเป็นผลของการปฏิบัติชัดๆ ไง ถ้ามันสมุจเฉทปหานด้วยมรรค ๘ มรรค ๘ มันมีอะไรล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ มรรค ๘

แล้วถ้าบอกว่า ๗ ก็ได้ ๘ ก็ได้ ๖ ก็ได้ มันขาดแคลนได้หรือ การเรียน ถ้าหน่วยกิตส่งไม่ครบ จบไม่ได้ การสอบถ้ามันส่งไม่ครบ จบไม่ได้ ๘ วิชา ส่ง ๗ วิชา สมาธิไม่ต้อง สมาธิตามหลังเอาก็ได้ ซ่อมเอาก็ได้ เดี๋ยวย้อนหลังก็ได้ นั้นมันทุจริตกับธรรมะนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ถ้ามันเป็นโสดาบันโดยสมบูรณ์แบบ มรรค ๘ ชัดๆ จะไปชี้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สำคัญ เป็นไปได้อย่างไร มรรค ๘ มันมาพร้อมกันด้วยความเป็นมรรค ๘ แล้วจะไปชี้ว่าอันใดอันหนึ่งมาทีหลังหรือไม่จำเป็น อู้ฮู! แสดงว่าไม่รู้จักมรรค ไม่รู้จัก ไม่เคยรู้เคยเห็น ถ้าไม่รู้จักมรรค ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันก็เป็นไปไม่ได้ไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าคนมีบุญนะ มันบอกว่า สิ่งที่พิจารณามาแล้วแต่ละรอบขนลุกขนพองตลอดนะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็สงสัย เห็นไหม มันรู้มาก มันโล่ง มันว่าง มันต่างๆ แต่ก็ยังสงสัย

ถ้ายังสงสัยก็ต้องพิจารณาต่อไป

การประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติมาแล้วถูกต้อง แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด ชัดเจนนะ เริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด เวลาที่สุดแล้วกังวานกลางหัวใจเลย แล้วถ้าเป็นจริง เป็นจริงอย่างนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ทำมานั้นถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องแล้วมีวาสนาด้วย ถ้าไม่มีวาสนานะ เวลามันปล่อยมันวาง เพราะมันมีคนเขียนปัญหามาร้อยแปดเลย แล้วว่าใช่ขั้นนี้ไหม มันจะสำคัญตนว่าได้ผลไง ถ้าสำคัญตนแล้วมันก็หลุดไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้ามันมัชฌิมาปฏิปทา ท่ามกลางนะ ทางสายกลาง สมควรพอดีกับธรรมในหัวใจ นั่นสมบูรณ์แบบ

ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนามันไปอย่างนั้นแล้ว มันไปอย่างนั้นคือว่า พอมันโล่งมันว่างก็จะว่าใช่ ไม่ใช่ได้อย่างไร ก็ผมใช้ปัญญาเต็มที่แล้ว

แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังสงสัย

คำว่า แต่ก็ยังสงสัย” หรือเรายังสงสัยอยู่ คือเรายังตรวจสอบความรู้สึกเราอยู่ ความรู้สึกเรามันก็เป็นปุถุชนเหมือนเดิม มันไม่มีสิ่งใดรู้แจ้ง

ถ้ามีสิ่งใดรู้แจ้งนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันจะแยกออกจากกัน แยกชัดเจน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แยกชัดเจน แล้วแยกชัดเจนนะ จิตรวมลง เวลามันเป็นจริง มันเป็นจริง มันเป็นจริงอันนั้น

แล้วถ้าเป็นจริงอันนั้น มันก็โสดาบันก็แค่นั้นน่ะ เล็กน้อย สกิทาคามี อนาคามีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง คำว่า เล็กน้อยๆ” นะ แต่เวลาปุถุชนจะขึ้นมาเกือบเป็นเกือบตาย แล้วต้องทำให้ได้จริงด้วย แล้วถ้าได้จริงขึ้นมามันจะเป็นความจริง

ฉะนั้น สิ่งที่ดีงาม ดีงามคือว่าไม่หลงตัวเองไง ถึงมันจะขนพองลุกขนาดไหน มันจะโล่งขนาดไหน มันจะว่างขนาดไหน แต่ก็ยังสงสัยอยู่ อันนี้ถูกต้อง เรายังสงสัย สงสัยสิ่งที่มันจะรู้รอบขอบชิดไง

รู้แจ้ง มันจะรู้แจ้งไม่มีสิ่งใดปิดบังในหัวใจเลย นี่ถึงว่ารู้แจ้ง ถ้ารู้แจ้ง ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ ถ้ามันเกิดยถาภูตังนะ เวลากิเลสมันตาย เกิดญาณหยั่งรู้

ไอ้นี่เห็นคุยโม้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ผิดๆ ถูกๆ

เวลาหลวงตาท่านพูดไง ฟังแล้วมันขำๆ ฟังแล้วมันตลก แต่มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์ถ้ามันเชื่ออย่างนั้นก็เชื่ออย่างนั้น แต่สัตว์ที่มีบุญมีกุศลไง หน้าที่ของเราประพฤติปฏิบัติ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เรามีแต่ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เวลาเป็นสัจธรรมขึ้นมามันจะกังวานขึ้นมากลางหัวใจ หัวใจคนเท่านั้นได้สัมผัสธรรม อย่างอื่นไม่มี เอวัง